อันตรายจาการบริโภคน้ำมังคุดที่ผลิตไม่ได้มาตราฐาน
คณะนักวิจัยของศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทยที่ได้ทำการวิจัยมากว่า 30 ปี เพื่อให้ผู้บริโภคมีพื้นฐานความรู้ที่ถูกต้อง ทันสมัย คณะนักวิจัยได้กล่าวไว้ว่า ประโยชน์เชิงสุขภาพที่แท้จริง ที่จะได้จากการใช้ผลิตภัณฑ์จากมังคุดคือ ความสามารถในการปรับระดับภูมิคุ้มกันให้สมดุล โดยการลดการหลั่งสาร Interleukin I และ Tumor Necrosis Factor อันเป็นให้ลดอาการที่เกี่ยวข้องกับการแพ้ภูมิตัวเองและการอักเสบ เช่น ตับเสื่อม ไตวาย เบาหวาน ข้อเข่าอักเสบ ความดันโลหิต โรคพาร์กินสัน ไทรอยด์เป็นพิษ และความผิดปกติ ของสมองอันเกิดจากการอักเสบเป็นต้น ในขณะเดียวกันผลิตภํณฑ์จากมังคุดยังสามารถเพิ่มการหลั่งของสาร Interleukin II ของเม็ดเลือดขาว อันทำให้ร่างกายสามารถที่จะต่อต้านสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายเช่น ไวรัส เชื้อรา แบคทีเรีย ข้อมูลเหล่านี้คณะนักวิจัยไทยเป็นผู้ค้นพบจากการตรวจเลือดของผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์จากมังคุดอย่างต่อเนื่อง
ประโยชน์เชิงสุขภาพข้างต้นเกิดจากการแสดงฤทธิ์ทางชีวภาพเสริมกัน ระหว่าง Xanthones 2-3 สาร ร่วมกับสาร Polysaccharides และ Alpha Hydroxy Acids ซึ่งล้วนแต่เป็นสารที่ปรับระดับภูมิคุ้มกัน ที่มีอยู่ในเนื้อมังคุด
เมื่อคณะนักวิจัยเริ่มงานวิจัยในเชิงสหวิชาการครั้งแรก เมื่อปี 2520 คณะนักวิจัยมีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ
1. สกัดสารที่เป็นประโยชน์จากเปลือกมังคุดไปใช้ในทางการแพทย์ โดยแยกออกจากสาร Tannins ซึ่งมีอยู่ในปริมาณมากในเปลือก
2. เพื่อที่จะขจัดปัญหาขยะในสิ่งแวดล้อมจากเปลือกมังคุดที่มีอยู่เกลื่อนกลาด
จริงอยู่ว่าตำราแพทย์แผนไทยได้ระบุว่า เปลือกมังคุดสามารถฝนกับน้ำปูนใส แล้วทาแผลให้หายได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อตมกับน้ำก็สามารถใช้น้ำต้มดื่มเพื่อแก้อาการท้องร่วงได้ ความชาญฉลาดและรอบรู้ของแพทย์แผนโบราณ คงจะเกิดขึ้นจากประสบการณ์ของคนไทยอย่างต่อเนื่องมาหลายชั่วคน ในเชิงวิทยาศาสตร์ ประสิทธิภาพในการรักษาแผลและอาการท้องร่วงเกิดจาก Xanthones 2-3 สาร ซึ่งคณะนักวิจัยได้ทำการยืนยันด้วยขบวนการทางวิทยาศาสตร์สากลและเผยแพร่ผลงานในแวดวงวิทยาศาตร์มาอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 32 ปี ในขณะเดียวกันคณะนักวิจัยก็ตระหนักว่าในเปลือกมังคุดมีสาร Tannins ในปริมาณมากที่สุด และตระหนักถึงพิษภัยที่อาจเกิดขึ้น จากการบริโภคสาร Tannins อย่างต่อเนื่อง อันอาจจะทำให้เกิดความเป็นพิษต่อตับ ต่อไต นอกจากนี้ได้มีการวิจัยและว่าการบริโภคสาร Tannins ในปริมาณมากอย่างต่อเนื่อง จะนำไปสู่การเกิดมะเร็งในร่องแก้ม ในทางเดินอาหารส่วนบน และลดจำนวนของเม็ดเลือดขาวจนทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดต่ำลงกว่าปกติได้
เมื่อราว 7 ปีที่ผ่านมา บริษัทหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ใช้ผลงานวิจัยเกี่ยวกับสาร Xanthones ที่มีอยู่ในเปลือกมังคุดในเชิงพาณิชย์ โดยการทำผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการบดมังคุดทั้งลูกแล้วขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกับ US FDA โดยอ้างว่ามังคุดเป็นผลไม้ที่บริโภคโดยคนไทยมาหลายชั่วคน จึงมิควรที่จะมีอันตรายที่เกิดขึ้นจากการบริโภค โดยละเว้นที่จะบอกชัดเจนว่า คนไทยมิได้บริโภคเปลือก เราบริโภคเฉพาะส่วนของเนื้อเท่านั้น และทิ้งเปลือกเป็นขยะ
แต่ด้วยประสิทธิภาพของสารที่มีอยู่ในมังคุดทำให้ผู้บริโภคสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่บริษัทนี้ผลิตขึ้นในการบรรเทาอาการผิดปกติทางร่างกายได้อย่างกว้างขวาง ทำให้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในเวลาอันสั้น โดยสามารถสร้างรายได้จากการจำหน่ายทั่วโลกถึง 40,000 ล้านบาทในเวลาเพียง 2 ปี
ผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์นี้ในระยะสั้นก็จะได้รับผลดีที่เกิดขึ้นจากสารที่มีประโยชน์แล้วก็หยุดการใช้ แต่เป็นที่น่าเชื่อถือได้ว่า หากมีการใช้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว สาร Tannins ก็จะแสดงผลอันไม่พึงประสงค์แก่ร่างกายได้
ด้วยความกังวลว่า หากมีผู้บริโภคผลิตภัณฑ์นี้แล้วเกิดผลข้างเคียงอันไม่พึงปรารถนาจนมีการพูดต่อๆกันว่า เกิดขึ้นจากการบริโภคมังคุดย่อมจะส่งผลให้ผลไม้อันทรงคุณค่านี้ ไม่เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคทั่วโลกต่อไป คณะนักวิจัยจึงได้ร่วกับสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์กรมหาชน) ผลิตนำมังคุดมาตราฐานเพื่อให้เป็นเครื่องดื่มทีไม่ใช่เป็นยา โดยไม่ใช้เปลืก ไม่มีการเติมน้ำตาล ไม่เติมสี ไม่เติมกลิ่นสังเคราะห์ และไม่เติมสารกันบูด แต่มีการควบคุมปริมาณสารที่มีประโยชน์ในเนื้อมังคุดในขบวนการที่ผลิตขึ้นอย่างมาตราฐาน เพื่อให้ผลิตภัณฑ์นี้สามารถลดปัญหาราคามังคุดตกต่ำในช่วงฤดูที่มังคุดให้ผลพร้อมๆกันได้ ในขณะเดียวกันก็จะสามารถช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้มีปัญหาสุขภาพและส่งออกไปจะหน่ายในต่างประเทศในลักษณะผลิตภัณฑ์ที่น่าภาคภูมิใจของคนไทยต่อไป
ในปัจจุบันนี้ ผลิตภัณฑ์นี้จำหน่ายแล้วในประเศไทย สหรัฐอเมริกา รัสเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ไต้หวัน อินโดนีเซีย และจะเริ่มจำหน่ายในยุโรปอีก 2 เดือนข้างหน้า มีผู้บริโภคผลิตภัณฑ์นี้อย่างต่อเนื่องทุกวัน วันละ 300 มล. ที่นานที่สุดคือเป็นเวลากว่า 2 ปี 8 เดือน โดยยังสามาถดำรงชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุข หลังจากที่แพทย์ได้วินิจฉัยว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพียง 1-2 เดือน อันเกิดจากโรคมะเร็งที่ลามไปทั่วร่างกาย และจากการที่มีผู้ใช้ได้ผลดีในลักษณะนี้เป็นจำนวนมาก ปัจจุบันสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตรจึงอยู่ในระหว่างการร่วมกับ Asian Phytoceuticals Public Company Limited ทดสอบผลิตภัณฑ์นี้เชิงคลินิก สำหรับเป็นอาหารของผู้ป่วยมะเร็งขั้นสุดท้าย โดยจะดำเนินการโดยคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในขณะเดียวกันจะมีการทดสอบใน University of alifornia at Davis และในเครือข่ายมหาวิทยาลัยในประเทศอิตาลีด้วย โดยโครงการทั้งหมดจะเสร็จสมบูรณ์ในระยะเวลา 12 เดือน
ด้วยการสนับสนุนของสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตรร่วมกับ Asian Phytoceuticals Public Company Limited ได้มีการทดสอบผลิตภัณฑ์นี้ในรูปแบบ ของอาหารที่ช่วยให้ร่างกายบรรเทา Pepticulcers และ Rheumatoid arthritis ซึ่งผลเป็นที่น่าพอใจ และผลจากการตรวจเลือดของอาสาสมัครไม่พบผลข้างเคียงใดๆ ตลอดระยะเวลาทดสอบ 30 วัน
ข้อมูลเหล่านี้ คงจะเป็นประโยชน์ในการช่วยเสริมความเข้าใจของผู้บริโภคในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีแต่ประโยชน์และไร้ผลข้างเคียงต่อไป
ข้อมูลจากศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทย