ราคา Mobile Phone  ราคา Mobile Phone  ราคา Mobile Phone

มีราคา ดอทคอม ราคา ดูราคา ค้นหา ราคาถูก

ราคา ค้นหา ค้นหาร้าน ราคาถูก

   ราคา Mobile Phone
Nokia   BlackBerry   Apple   Oppo   Motorola   Samsung   Sony Ericsson   LG   i-mobile   GNET   Wellcom   HTC   
ราคา Mobile Phone Mobile Phone
[ 798 ร้านค้า ]
ราคา คอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์
[ 216 ร้านค้า ]
"> ราคา เครื่องสำอาง<script async src=" width="38" height="40" border="0" /> ">เครื่องสำอาง
"> [ 456 ร้านค้า ]
ราคา สินค้าทั่วไป สินค้าทั่วไป
[ 2269 ร้านค้า ]
ราคา แฟชั่น แฟชั่น
[ 712 ร้านค้า ]
"> ราคา คอนโดมิเนียม<script async src=" width="38" height="40" border="0" /> ">คอนโดมิเนียม
"> [ 30 ร้านค้า ]




ราคามือถือมาบุญครอง mbk มือถือราคาถูก เปรียบเทียบราคามือถือ mbk

เช่า wifi ญี่ปุ่น เช่า wifi ญี่ปุ่น รับเครื่องได้ที่ไทย ใช้งานได้ที่ญี่ปุ่น ส่งเครื่องกลับคืนในไทย
 



เลือกหมวดสินค้าที่ต้องการค้นหา


เครือข่ายมือถือ

AIS
1175

1175

1175

1175

0-2502-5000

1678

1678

1128

1331

1777

0-2900-9000

PCT
0-2900-9000


ตรวจสอบยอดเงินมือถือ

*911

900121

1811

*1001

#123#

91111


เบอร์ศูนย์บริการทั้งหมด

0-2255-2111

0-2248-3030

0-2689-3232

0-2351-8666

0-2722-1118

0-2351-8666

0-2975 – 5555

0-2641 5159-60

0-2363-4355

HTC
0-2640-3399

081-122-5766

1175 ?? 8

082-000-3333

TWZ
0-2953-9400

0-2308-1010

LG
0-2204-1888





แพคเกจร้านค้าออนไลน์


เช็คราคาMobile Phone CHECK PRICE | ค้นหาราคาMobile Phone เช็คราคาMobile Phoneวันนี้

Nokia   BlackBerry   Apple   Oppo   Motorola   Samsung   Sony Ericsson   LG   i-mobile   GNET   Wellcom   HTC   
ตามรอยคาทอลิก 2 อันซีน ริมฝั่งโขง

 


คาทอริค2

 

 ด้านหน้าของโบสถ์ไม้มหัศจรรย์

พระเยซูในโบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้

กางเขนเหล็ก 8 ต้นที่วัดสองคอน


ตามรอยคาทอลิก 2 "อันซีน" ริมฝั่งโขง (มติชน)

คอลัมน์ บันทึกเดินทาง
โดย ชนัตพล หวังเพิ่ม

           ใครจะเชื่อว่า อีสานบ้านเฮา จะมีชุมชนชาวคริสต์ชุมชนใหญ่ ที่เกาะกลุ่มอยู่กันอย่างเหนียวแน่นมากว่า 1 ศตวรรษ!

           ซ้ำยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่งดงามทั้งรูปแบบของสถาปัตยกรรมที่ไม่เหมือนกับที่ไหน และยังมีวิถีชุมชนให้ได้เรียนรู้เรื่องราวที่น่าทึ่งอีกต่างหาก

           งานนี้ "การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย" จัดให้เป็นหนึ่งในหลายๆ เส้นทางใหม่ที่เพิ่งลอนช์ออกมาตามสโลแกนที่ว่า "เที่ยวไทยครึกครื้น เศรษฐกิจไทยคึกคัก"

           เรียกย่อๆ ทริปนี้ว่า เส้นทาง "เยือนถิ่นคาทอลิก 2 อันซีน"

           เจ้าภาพย่อมเป็น "ททท.ภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ" โดยได้รับความร่วมมือกับอีก 4 สมาคมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย คัดสรรสถานที่สวยๆ และน่าสนใจมากๆ 4 จุดมาแนะนำกัน คือ "บ้านท่าแร่ จังหวัดสกลนคร บ้านคำเกิ้ม จังหวัดนครพนม วัดสองคอน จังหวัดมุกดาหาร" แล้วปิดท้ายกันที่ "บ้านซ่งแย้ จังหวัดยโสธร"

           เริ่มกันที่ "บ้านท่าแร่ จังหวัดสกลนคร"

           ใครที่ไม่เคยไป บ้านท่าแร่ อาจจะนึกถึงแต่ภาพของเนื้อสุนัข แต่ถ้าได้ไปเยือนจะพบกับความน่าอัศจรรย์ของรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ต่างจากที่คิด เพราะตลอดสองข้างทางเรียงรายด้วยบ้านเรือนสไตล์ฝรั่งเศส

           แต่อลังการที่สุดเห็นจะเป็นโบสถ์ขนาดยักษ์รูปเรือ "โบสถ์อาสนวิหารอัครเทวดามิคาแอล"

           "วุฒิ" หนุ่มน้อยชาวท่าแร่ซึ่งทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ประจำถิ่น เล่าให้ฟังว่า ชุมชนแห่งนี้มีขึ้นตั้งแต่เมื่อ 125 ปีที่แล้ว ครั้งนั้นผู้คนที่อาศัยอยู่แถบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นชาวเวียดนาม ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส จึงไม่แปลกที่คนกลุ่มนี้จะนับถือศาสนาคริสต์

           ว่ากันว่า กลุ่มคนที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านท่าแร่ส่วนหนึ่งเป็นแรงงานที่ถูกปลดปล่อยออกมา อีกส่วนเป็นคนที่ถูกชุมชนเดิมขับไล่เพราะเชื่อว่าเป็นผีปอบ

           "ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ไทยกำลังมีกรณีพิพาทกับฝรั่งเศสพอดิบพอดี ประชาชนชาวเวียดนามกลุ่มนี้จึงเสี่ยงหนีภัยสงครามเข้ามา โดยคุณพ่อซาเวียร์ เกโก มิชชันนารีชาวฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ดูแลชาวบ้านในเวลานั้นได้ต่อเรือพาชาวบ้านข้ามฟากจนมาขึ้นฝั่งที่นี่ จึงจัดตั้งชุมชนชาวคริสต์ขึ้นมาใหม่ โดยการวางผังเมืองไว้อย่างเป็นระเบียบ เป็นบล็อคๆ คล้ายกับตารางหมากรุก"

           จนปัจจุบันนี้ชุมชนมีประชากรเพิ่มขึ้นมากกว่า 15,000 คน

           ส่วนชื่อของ "ท่าแร่" นั้นมาจากลักษณะของพื้นที่ในบริเวณนั้นที่เป็นดินลูกรัง หรือ "หินแฮ่" เป็นส่วนใหญ่ แต่ภายหลังเรียกเพี้ยนกันมาเป็น "ท่าแร่"
 
 
คาทอริค
 
 
 "โบสถ์อาสนวิหารอัครเทวดามิคาแอล" ที่เห็นเป็นรูปเรือขนาดยักษ์ จึงสร้างขึ้นก็เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตเมื่อครั้งที่คนกลุ่มนี้อพยพ มาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่เป็นครั้งแรก

           ปัจจุบันทุกเทศกาลคริสต์มาส ชุมชนแห่งนี้จะมีงานเฉลิมฉลองด้วยการประดับไฟ รวมทั้งการ "ติดดาว" ซึ่งเป็นสัญลักษณ์การประสูติของพระเยซูคริสต์

           จากท่าแร่ คณะออกเดินทางต่อ มีจุดหมายอยู่ที่ "บ้านคำเกิ้ม" ต.อาจสามารถ อ.เมืองนครพนม เพื่อ "ย้อนอดีตดูการอพยพมาตั้งถิ่นฐานของคริสต์ศาสนิกชนกลุ่มแรก" หลักฐานก็คือ โบสถ์เก่าที่ยังมีร่องรอยของการถูกทำลายจากสงครามอินโดจีน

           ที่วัดคำเกิ้ม "คุณพ่อศุภวัฒน์ ดอกเกตุ" เล่าว่า กลุ่มคริสต์ศาสนิกชนคำเกิ้ม เป็นชาวเวียดนามที่อพยพมารวมตัวกันอยู่ที่นครพนม จนมาถึงต้นเดือน มกราคม พ.ศ.2428 คุณพ่อซาเวียร์ เกโก ได้ปรึกษาร่วมกับคุณพ่อยอร์ช ดาแบง ในการเลือกถิ่นฐานของคริสตชนกลุ่มนี้ให้เหมาะสมกว่าที่เดิม

           ในที่สุดจึงได้เลือกบ้านคำเกิ้ม มีการสร้างวัดและบ้านพักพระสงฆ์ โดยคุณพ่อซาเวียร์ เกโก เป็นเจ้าอาวาสคนแรก หลังจากนั้น "วัดคำเกิ้ม ได้กลายเป็นที่ตั้งของศูนย์กลางมิสซังใหม่ของภาคอีสาน"

           แต่ในเวลาต่อมาด้วยความคับแคบของสถานที่และปัญหาด้านการเดินทาง บรรดาพระสงฆ์จึงได้เสนอให้ย้ายศูนย์มิสซังไปอยู่ที่หนองแสง เพื่อให้สะดวกต่อการสัญจร เนื่องจากอยู่ใกล้ลำน้ำโขง

           คุณพ่อศุภวัฒน์เล่าต่อว่า สำหรับวัดหลังเก่าที่ได้รับความเสียหายนั้น สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2447 เป็นวัดหลังที่ 2 ใช้ประกอบพิธีทางศาสนาเรื่อยมาจนกระทั่งปี พ.ศ.2483 ได้เกิดกรณีพิพาทอินโดจีนและการเบียดเบียนศาสนา วัดหลังนี้จึงถูกยิงและเผาทำลาย แต่ก็ยังหลงเหลือไว้ให้เป็นประจักษ์พยานถึงเหตุการณ์ในอดีต

           จากจังหวัดนครพนม จุดหมายต่อไปคือ จังหวัดมุกดาหาร ใช้เวลาราว 2 ชม. ก็มาถึง "วัดสองคอน" หนึ่งในสองอันซีนของทริปนี้

           พอรถเลี้ยวเข้าเขตบริเวณวัด ดูเหมือนจะไม่มีใครคาดคิด เพราะถ้าไม่บอกคงไม่มีใครทายถูกว่า อาคารสีแดงที่ว่านี้ก็คือ วัดสองคอน!

           "วัดสองคอน" หรือที่บางคนเรียกว่า "วัดพระแม่ไถ่ทาส" มีชื่อเต็มๆ ว่า "สักการะสถานแห่งมรณะสักขี วัดสองคอน" เป็นโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแด่คริสตชน 7 ท่าน ที่พลีชีพเพื่อยืนยันความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า"

           สิ่งที่เห็นตรงหน้า คือ อาคารสถาปัตยกรรมรูปทรงทันสมัย ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีแดงทั้งหลัง ด้านหน้ามีเสาเหลี่ยมขนาดใหญ่เรียงรายกันเป็นระยะๆ จำนวน 7 เสา

           "คุณพ่อสมรชัย กระแสสิงห์" เล่าว่า ในปี พ.ศ.2483 ไทยมีปัญหาเรื่องพรมแดนกับฝรั่งเศสและต้องสูญเสียดินแดนบางส่วน จึงเกิดเป็นกรณีพิพาทอินโดจีน ซึ่งในเวลานั้นบาทหลวงส่วนใหญ่เป็นชาวฝรั่งเศสจึงถูกขับไล่ เพราะเข้าใจว่าศาสนาคริสต์คือศาสนาของฝรั่งเศส และสั่งให้ชาวบ้านละทิ้งศาสนาที่นับถือเสีย

           แต่หลังจากบาทหลวงออกไปกันแล้ว ก็ยังมีชาวสองคอนเป็นจำนวนมากที่ไม่ยี่หระ เพราะถึงแม้ว่าจะไม่มีบาทหลวง แต่พวกเขายังมีครูคำสอนกับซิสเตอร์คอยให้กำลังใจแก่ชาวบ้าน

           เมื่อตำรวจเห็นดังนั้น จึงหาทางกำจัดครูคำสอนด้วยการหลอกล่อให้ออกจากหมู่บ้านไปยิงทิ้งกลางทาง หลังจากนั้นซิสเตอร์จึงหารือกับชาวบ้านผู้ศรัทธาอีก 6 คน และได้ข้อสรุปที่จะยืนยันความเชื่อ จึงได้เขียนจดหมายถึงตำรวจ มีใจความที่ว่าพร้อมที่จะตายเพื่อยืนยันความเชื่อของตน

           แม่ชีและชาวบ้านอีก 6 คน (รวมกันเป็น 7) จึงถูกสังหารที่บริเวณป่าศักดิ์สิทธิ์หลังจากนั้นไม่นาน

           จากเหตุการณ์นี้เองที่ทำให้ "สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์นปอลที่ 2" ได้ประกาศให้มรณะสักขีทั้งเจ็ดเป็น "บุญราศี" คือเป็นผู้สมควรแก่การเป็นแบบอย่าง จนมาถึงปี พ.ศ.2535 จึงมีการสร้างวัดสองคอนขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแก่บุญราศีทั้งเจ็ด

           ปัจจุบันภายในบริเวณวัด ทางด้านหลังซึ่งเป็นที่ตั้งของพระแท่นมีโลงแก้วซึ่งภายในบรรจุพระธาตุของ "บุญราศี" ทั้ง 7 เอาไว้ในหุ่นจำลอง ซึ่งมีคริสต์ศาสนิกชนหมุนเวียนกันมาขอพรอยู่ไม่ขาด

           รวมทั้งมีบ้านไม้ใต้ถุนสูงซึ่งเคยเป็นที่อยู่อาศัยของซิสเตอร์ที่เสียชีวิต ถัดไปอีกเล็กน้อยยังมีกางเขนเหล็ก 8 ต้น ที่สร้างขึ้นตามความสูงของบุญราศี ส่วนเสาอีกต้นหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมาและสูงที่สุดนั้นใช้แทนองค์พระเยซูเจ้า

           วัดหลังนี้สร้างตามความหมายของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตัวโบสถ์จะมีเสา 7 ต้นอยู่ทุกมุม เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่บุญราศรีทั้งเจ็ด

           ตัววัดเป็นกระจกแสดงถึงความโปร่งใสและจริงใจ ตัวโบสถ์ก่อขึ้นด้วยหินทรายสีแดงซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของคนท้องถิ่นนี้ ส่วนกำแพงโค้งล้อมรอบวัดรวมถึงทางเข้าที่มีแค่ทางเดียวเป็นตัวแยกวัดแห่งนี้ออกจากความวุ่นวายของโลกภายนอก คุณพ่อสมรชัยบอก

           ความสวยงามของวัดแห่งนี้มีมากมายแค่ไหน คงต้องไปเยี่ยมชมกันเอง

           แค่ได้รับ "รางวัลสถาปัตยกรรมเหรียญทองเกียรตินิยมจากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ปี 2539 และรางวัลสถาปัตยกรรมดีเด่นเหรียญทองของสมาคมสถาปนิกแห่งเอเชีย ปี พ.ศ.2545" เท่านั้นเอง

           จากมุกดาหาร คณะเดินทางต่อไปยังจังหวัดยโสธร เพื่อไปยังจุดหมายสุดท้ายที่ "บ้านซ่งแย้" อ.ไทยเจริญ เพื่อชมโบสถ์ไม้มหัศจรรย์ของ "วัดอัครเทวดามีคาแอล" อีกหนึ่ง "อันซีน" ซึ่งเพียงแรกเห็นก็เล่นเอาคณะของเราตื่นตาตื่นใจไม่น้อยทีเดียว

           เพราะต้นเสาแต่ละต้นจนถึงไม้แต่ละแผ่นนั้นมีสีสันและขนาดที่พอเหมาะ ที่สะดุดตาเป็นพิเศษ คือ "รูปปั้นพระเยซูที่แกะสลักจากไม้เนื้อดีงดงามราวกับเนรมิต"

           ส่วนแท่นรองด้านล่างแกะสลักเป็นภาพพระกระยาหารมื้อสุดท้าย โดยมีแสงไฟสลัวๆ จากดวงไฟ ช่วยเติมเต็มบรรยากาศต้องมนต์ขลังได้เป็นอย่างดี
 
 


คาทอริค2

 

   คุณพ่อบุญเลิศ พรหมเสนา เล่าถึงการสร้างโบสถ์ไม้หลังนี้ว่า

           โบสถ์ไม้หลังนี้เกิดขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงและศรัทธาของชาวบ้าน โดยในปี พ.ศ.2479 ชาวบ้านนับพันคนมีความเห็นตรงกันว่า น่าจะมีการสร้างโบสถ์หลังใหม่ทดแทนกับหลังเก่าที่ชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา จึงช่วยกันจัดหาไม้เป็นจำนวนมาก แต่ยังไม่ทันจะได้ก่อสร้าง ก็ถูกทางการยึดไปในช่วงที่มีการเบียดเบียนศาสนา

           จนปี พ.ศ.2490 จึงได้ทำการรวบรวมไม้ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง คราวนี้ได้ไม้กว่า 80,000 แผ่น และเสาอีก 227 ต้น แต่ก็มีผู้ไม่หวังดีปล่อยข่าวว่าไม้ที่นำมาใช้ก่อสร้างเป็นไม้ผิดกฎหมาย พอทางกรมป่าไม้ส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ เจ้าหน้าที่เมื่อเห็นเข้าเท่านั้นก็เกิดเปลี่ยนความคิด แนะนำให้ชาวบ้านเขียนเอกสารทำเรื่องว่าเป็นการบริจาค การก่อสร้างจึงเดินหน้าต่อไปและลุล่วงจนเป็นโบสถ์อย่างที่เห็น ประมาณปี พ.ศ.2496-2497

           คุณพ่อบุญเลิศ บอกอีกว่า ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าโบสถ์หลังนี้ไม่ได้เป็นแบบคริสต์เสียทีเดียว แต่เป็นศิลปะแบบผสมไทยอีสาน โดยดูได้จากต้นเสาที่มีลักษณะกลม เป็นการสะท้อนวิถีชีวิตที่ซื่อตรงและเรียบง่ายของคนอีสาน

           "ถือเป็นโบสถ์ไม้หลังเดียวในประเทศไทย และอาจจะเป็นหลังเดียวในโลกด้วยซ้ำ ที่หาดูที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว"

 

ที่มา   http://travel.kapook.com

 

 

 

 

โดย: มิสเตอร์ใจดี  เมื่อ: 03 ตุลาคม 2556
จำนวนผู้เข้าชม : 2,431

ข่าวอื่นๆที่น่าสนใจ
2. dom33

 



Mirakar@ copyright 2009 created by www.mirakar.com
ราคามือถือ ค้นหาราคามือถือ และราคาสินค้าอื่นๆ ได้ที่นี่
ที่อยู่ : 222/5 ถนนหลานหลวง แขวงคลองมหานาค ป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ 10100  อีเมล :